ทำไมคนฉลาด ชอบขโมยสมองของคนสำเร็จ ?

ขโมยสมอง Warren Buffett กับ Charlie Munger
คุณจะทำอย่างไรหากหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วมันไม่ได้ ขณะที่บางคนยอดขายในธุรกิจตกต่ำ ก็พยายามที่จะเข้าสู่การตลาดการขายแบบออนไลน์เหมือนคนอื่น ๆ

แต่แล้วก็ไม่เป็นไปอย่างที่ฝัน

บางคนเล่นหุ้น ลงทุนในตลาดตามกระแส เพราะการลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้ จึงทำให้หลายคนหมดตัว หลายคนบอกว่า “ไม่เหลืออะไรเลย”

คำว่าไม่เหลืออะไรเลยเป็นความรู้สึกเชิงลบ และชีวิต มันก็เป็นไปตามที่ใจเราคิด เหมือนที่เขาบอกว่า คนชอบตามหาสิ่งที่ไม่มี จนลืมใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่

ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ยอดขายตก สูญเงินไปกับตลาดทุน แล้วบอกว่าไม่เหลืออะไรเลย

บ้าแล้ว – ยังเหลืออีกตั้งเยอะ
นักสู้ เหลือกางเกงในตัวเดียวมันก็ชนะได้
หลายคนที่กลับมาได้ ทำให้ฟ้าหลังฝนสดใสได้ ผู้ที่สอนวิธีแก้ปัญหาที่เป็นเลิศที่สุดในโลกในความคิดผมคือพระพุทธเจ้า ท่านลำดับไว้สี่ขั้น

– ปัญหาคืออะไร
– สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา
– มีกี่หนทางที่จะชนะปัญหานี้ได้
– หนทางแห่งการหลุดพ้นปัญหาชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เดล คาร์เนกี้ ก็เอาสูตรนี้ไปใช้ในการฝึกอบรม จนเป็นโค้ชตัวพ่อที่ผลักดันจนอเมริกาเกิดยุคอเมริกันดรีม แต่คาร์เนกี้เอาไปใช้แค่สามข้อแรก

เช่น คน ๆ หนึ่งล้มเหลว เขาก็จะจัดเวิร์คช็อป หากระดาษให้เขียน ให้แต่ละคนบันทึกทีละข้อ ๆ จนครบสามข้อ แล้วให้ทุกคนอภิปรายกัน > ท้ายที่สุดก็ได้ทางออก สร้างเป็นแผนงานและทำเป็นแอ็คชั่นแพลน

ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจําปีของ Berkshire Hathaway, มีคน 45,000 นั้งฟัง Warren Buffett และ Charlie Munger

พูดถึงเคล็ดลับสั้น ๆ ที่เรียบง่ายแต่แหลมคมมาก
บทเรียนหลัก ๆ ที่น่าจดจำจากการที่ทั้งคู่พูดคุยกันก็คือ:
คลิกที่รูปภาพเพื่ออ่านรายละเอียด
เรียนหลักสูตร AI ช่วยทำวิจัย
1. หาสิ่งที่ทําให้คุณตื่นเต้น
Warren พูดประโยคนี้เพื่อตอบคําถามว่า เขาจะแนะนําตัวคุณเองเมื่อ 50 ปีก่อนว่าอะไร >> การค้นหาและทําตามความชอบเป็นสิ่งเดียวที่คนรุ่นใหม่สมควรทำ – และนั่นคือสิ่งที่สําคัญมากบนเส้นทางแห่งการหาเลี้ยงชีวิตและใช้ชีวิต ถ้าคุณทําสิ่งที่ทําให้คุณหลงใหลคุณจะไปได้ไกลมากในเส้นทางนั้น
2. อย่ากังวลเกี่ยวกับคนอื่น ๆ ที่กําลังทํา: Charlie บอก
ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่คนอื่นๆ กําลังทํา ในโลกการเงินการลงทุน มีผู้คนมากมายที่ล้มเหลวเพราะทำตามคนอื่น จนสูญเสียจุดยืนของตัวเอง แทนที่จะทำตามคนอื่นเราควรจะหาสิ่งที่เราคิดและทํามันเอง เราไม่จําเป็นต้องสอดส่องว่าใครทำอะไรอยู่หรือเปรียบเทียบเรื่องของตัวเองกับคนอื่น
3. เข้าใจจุดแข็งของตัวเอง
สองคนนี้เข้าใจขีดจํากัดของตัวเองเป็นอย่างดี – พวกเขาไม่เคยลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเพราะพวกเขาไม่เข้าใจมัน และแทนที่จะลงทุนในสิ่งที่เขาไม่รู้ไม่เชี่ยวชาญ สองคนนี้กลับมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งของเขา พวกเขารู้ว่าพวกจุดแข็งของอยู่ที่ไหนและเขาก็สร้างสรรค์มันอย่างต่อเนื่อง การทิ้งความคิดว่าจะทําสิ่งต่าง ๆ (ที่ไม่เชี่ยวชาญ) มาใส่ใจและมุ่งเน้นกับบางสิ่ง เป็นบทเรียนที่สําคัญมากในชีวิต
คลิกที่รูปภาพเพื่ออ่านรายละเอียด
เรียนหลักสูตรอสังหาฯ แบบบุฟเฟต์
4. เป็นน้ำนิ่งในทะเลสาบ
Warren และ Charlie เดินตามปรัชญาการลงทุนนี้ พวกเขาไม่ได้ซื้อขายบ่อยๆและตามกระแส เหมือนนักลงทุนคนอื่น ๆ พวกเขามุ่งเน้นไปที่มูลค่า และใช้ความอดทนต่อความอยากที่เข้ามายั่วยวนด้วยการควบคุม “สติ”
5. รู้ว่าคุณชอบอะไรและทิ้งสิ่งที่ไม่จําเป็น
Warren Buffett หนึ่งในคนรวยที่สุดในโลกแต่อยู่ในบ้านเล็ก ๆ ขับ Cadillac ธรรมดา ๆ ด้วยตัวเองและกินอยู่ในเมืองใน ร้านอาหารระดับกลาง แน่นอนว่าเขาสามารถใช้ชีวิตที่หรูหรามากกว่านั้นได้ แต่เขาไม่ทำ เขาใช้แต่สิ่งที่เขาชอบจริงๆและไม่สนใจสิ่งที่เสียไป
อาจจะมีบางคนที่บอกว่า “ก็พวกเขารวยและประสบความสําเร็จไง…เขาก็พอใจสิ”

นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ประเด็นพวกคือเขาประสบความสําเร็จเพราะพวกเขาเรียนรู้บทเรียนข้างต้น

บทเรียนทั้งหมดข้างต้นขึ้นอยู่กับพื้นฐาน: พื้นฐานของสมาธิ พื้นฐานของคนที่รู้ทันตัวเอง เห็นได้ชัดว่าคนที่รู้ว่าจะเลือกว่าสิ่งที่ควรพยายาม และสิ่งไหนที่ควรเลี่ยง คือคนที่เข้าใจตัวเอง

ชีวิตไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปกินอาหารในร้านบุฟเฟ่ต์

คุณจะยัดทุกสิ่งใส่จานที่ไม่ว่าต้องการหรือไม่ต้องการแบบคนตะกละ

หรือจะเลือกแต่สิ่งที่ชอบ
คลิกที่รูปภาพเพื่ออ่านรายละเอียด
หลักสูตรออนไลน์และ Work Shop สด ๆ